“บิ๊กโจ๊ก” เผย “แอม ไซยาไนด์” มีอาการแปลก ร้องไห้สลับกับหัวเราะ หลังจากพาพยานปากสำคัญไปพบ
ตำรวจพาเพื่อนสนิทที่แอมส่งทรัพย์สินของเหยื่อไปให้เข้าพบในเรือนจำ นาทีพบหน้าถึงกับโผเข้ากอดกันร้องไห้ “รองโจ๊ก” ร่วมทำการสอบปากคำนานกว่า 3 ชม. ยังคงเป็นกระต่ายขาเดียวให้การปฏิเสธคดีฆ่า รับเฉพาะคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของเหยื่อเพราะจำนนต่อหลักฐาน ระหว่างให้การยังแสดงอาการที่แปลกๆร้องไห้สลับกับหัวเราะ คณะทำงานเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก จำนวน 1-2 คน ภายในสัปดาห์หน้า ส่วนสำนวนการสอบสวนเริ่มที่จะสมบูรณ์แล้ว เตรียมทยอยส่งอัยการฟ้อง ด้านทนายคนใหม่ “ชินคุปต์ ไทยยะกร” เข้าพบแอมที่เรือนจำเป็นครั้งแรก ยืนยันรับแค่ให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่ได้รับว่าความสู้คดีในชั้นศาลให้แต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่าตำรวจมีพยาน และหลักฐานมี่แน่นหนา
กรณีการสืบสวนคลี่คลายคดีนางสรารัตน์ หรือแอม รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 36 ปี ก่อเหตุที่สะเทือนขวัญโดยการวางสารไซยาไนด์ให้กับเหยื่อนับสิบราย เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันการกู้ยืมเงิน รับจำนำรถ จำนำที่ดิน และวงแชร์ เพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของเหยื่อ ถูกจับดำเนินคดีข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนรวมแล้วจำนวน 15 คดี ล่าสุดตำรวจพบพยานหลักฐานสำคัญเป็นน้องชายและน้องสะใภ้ของนางแอมส่งทรัพย์สินของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย ขันวงษ์ อายุ 33 ปี 1 ในเหยื่อที่เสียชีวิตไปให้ น.ส.แก้ว (ขอสงวนชื่อนามสกุลจริง) อายุ 60 ปี จนเจ้าตัวออกมาโวยวายไม่เข้าใจว่าจะส่งทรัพย์สินของเหยื่อมาให้ทำไม ขอให้ตำรวจพาเข้าพบนางแอมที่ทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อสอบถามตามที่เสนอข่าวไปแล้ว ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 13 พ.ค. พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 ชุดคลี่คลายคดีแอม นำคณะพนักงานสอบสวนพร้อมด้วย น.ส.แก้ว อายุ 60 ปี เพื่อนสนิทวงแชร์และพยานปากสำคัญที่ผู้ต้องหาส่งทรัพย์สินของเหยื่อไปให้ประสานเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ขอเข้าพบนางสรารัตน์ หรือแอม รังสิวุฒาภรณ์ ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อสอบปากคำเรื่องเอาทรัพย์สินเหยื่อส่งไปให้และพยายามหว่านล้อมให้แอมทำการรับสารภาพ มีการรายงานระบุด้วยว่า หลังจาก น.ส.แก้วพบหน้ากับนางแอมถึงกับโผเข้ากอดกัน พร้อมกับร้องไห้โฮ ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางมาร่วมทำการสอบปากคำนางแอมด้วยตัวเองใช้เวลานานกว่า 3 ชม. หลังจากนั้นออกมาเปิดเผยว่า นางแอมรับสารภาพประเด็นส่งกระเป๋าและทรัพย์สินบางส่วนของ น.ส.ก้อย ผู้เสียชีวิตไปให้ น.ส.แก้ว พยานในคดีเป็นเรื่องจริง เนื่องจากจำนนต่อหลักฐาน แต่ไม่ยอมรับว่าทำการก่อเหตุฆาตกรรมและวางยา รวมทั้งปฏิเสธไม่ได้เอาเงินจำนวน 50,000 บาท ที่อยู่ในกระเป๋า น.ส.ก้อยไปอ้างว่าไม่มีเงินอยู่ ส่วนโทรศัพท์มือถือไอโฟนของ น.ส.ก้อย รับว่านำไปทิ้ง เนื่องจากสามารถติดตามพิกัดได้ ส่วนทองคำของนายสุทธิศักดิ์ หรือแด้ พูนขวัญ อายุ 35 ปี อดีตสามี ยอมรับว่านำไปขายที่ร้านทองแล้ว แต่ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นเรื่องการเสียชีวิต “นางแอมให้การกับตำรวจทั้งหมดถึงสาเหตุการส่งทรัพย์สิน น.ส.ก้อยไปให้ น.ส.แก้ว แต่ขอไม่เปิดเผยเพราะต้องนำไปรวบรวมไว้ในสำนวนคดี ส่วน น.ส.แก้วจะเป็นผู้เสียหายด้วยหรือไม่ เพราะอ้างว่าเคยถูกนางแอมวางยาไซยาไนด์ ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน ขณะนี้ น.ส.แก้วยังคงไม่มีความผิดร่วม เนื่องจากมีเจตนานำของกลางมาให้ตำรวจทำการตรวจสอบ แต่เป็นคนที่แอมไว้วางใจที่สุดเพราะได้รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2563 เป็นคนแนะนำให้รู้จักกับทนายพัช น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ ที่เข้ามาช่วยเหลือทางคดีก่อนหน้านี้” รองโจ๊กกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า ส่วนการขอเปลี่ยนทนายนั้นไม่มีผลทางคดี เป็นเพียงวิธีการของผู้ต้องหาเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะยังปฏิเสธ แต่ตำรวจมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงการก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงข้อมูลของเส้นทางการเงินที่รอตอบกลับมาจากธนาคาร รวมทั้งต้นตอผู้ที่ทำการสั่งซื้อไซยาไนด์ให้กับนางแอม เชื่อว่าสามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการในบางคดีได้ภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้จะแจ้งข้อกล่าวหาและขอศาลออกหมายจับผู้ใกล้ชิดของนางแอมอีกจำนวน 1-2 คนในสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าทำหน้าที่อะไร อย่างไร รองโจ๊กกล่าวด้วยว่า ส่วนการพูดคุยกับนางแอมวันนี้ยังคงร้องไห้สลับกับหัวเราะ ไม่มีความเครียดมากนัก ส่วนก่อนหน้านี้ที่ทนายพัชให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่านางแอมไม่ต้องการให้บุคคลใดเข้าพบรวมทั้งตนด้วยนั้น เห็นว่าไม่มีท่าทีจะไม่ให้เข้าพบ และการเข้ามาพบวันนี้เป็นความต้องการของ น.ส.แก้ว พยานในคดี ไม่ได้มาโดยตามใจผู้ต้องหา แต่หลังจาก น.ส.แก้วมาพร้อมกับตำรวจวันนี้ นางแอมมีท่าทีระแวง ไม่ไว้วางใจ น.ส.แก้ว เนื่องจากเคยไปออกรายการโทรทัศน์ (โหนกระแส) และได้อยู่กับตำรวจ แต่มีความไว้วางใจทนายพัชมากกว่า ต่อมานายชินคุปต์ ไทยยะกร ทนายคนใหม่ที่นางแอมเพิ่งแต่งตั้งแทนทนายพัชเดินทางเข้าพบลูกความ กล่าวว่า นางแอมแต่งตั้งตนเพื่อขอคำปรึกษาในเรือนจำ ไม่ได้เป็นทนายความให้ เนื่องจากนางแอมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่เป็นผู้ต้องขังด้วยกันให้ติดต่อตนเพื่อที่จะขอคำปรึกษา การเข้าพบเป็นการเข้าพบกับลูกความของตัวเอง ต้องแต่งตั้งทนายตามระเบียบการเข้าพบผู้ต้องขัง พร้อมกับยืนยันว่าจะไม่เป็นทนายความในคดีให้ เนื่องจากผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ยากต่อการต่อสู้คดี เพราะครั้งแรกที่เข้าให้คำปรึกษาเข้าใจว่านางแอมจะรับสารภาพ จะได้บอกถึงขั้นตอนการต่อสู้คดี ในมุมมองนักกฎหมายเห็นว่าคดีนี้หากต่อสู้คดีเป็นเรื่องยาก เนื่องจากพยานหลักฐานที่ปรากฏตามสื่อค่อนข้างมีความชัดเจน